ความหมายของยา ยา เป็นสารเคมีที่เข้าไปในร่างกาย เพื่อการวินิจฉัย เพื่อการบำบัดรักษา
เพื่อการบรรเทาอาการ หรือเพื่อป้องกันโรค คำว่า drug และ medication
หมายถึง ยา แต่ใช้ในความหมายต่างกัน drug คือ
ยาที่จะเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย โดยมีผลต่อศักยภาพของร่างกาย เช่น
เฮโรอีน โคเคน ส่วน medication เป็นยาที่ใช้เพื่อผลทางการรักษา
อาจกล่าวได้ว่า ยาที่ใช้ในการรักษาทุกชนิด คือยา
แต่ยาทุกชนิดอาจไม่ได้ใข้เพื่อการรักษา การใช้ยาให้ได้ผลดีและปลอดภัย
พยาบาลผู้มีหน้าที่ให้ยาหรืผู้ใช้ยาต้องมีความรู้เกี่ยวกับยาและการใช้ยา
เป็นอย่างดี
เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ยาที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ได้รับยาและพยาบาลผู้
รับยาอาจได้รับโทษ
http://student.mahidol.ac.th/~u4909269/page3.htm
ประเภทของยา
อาจแบ่งตามชนิดที่มีลักษณะหรือข้อกำหนดต่าง ๆ เช่นแบ่งตามการผลิตยา
ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1. ยาสำเร็จรูป
ได้แก่ ยาที่บริษัทต่าง ๆ ได้ผลิตขึ้นและจดทะเบียนไว้กับทางราชการ
ยาพวกนี้มีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น ยาเม็ด ยาน้ำ หรือยาฉีด
เป็นการสะดวกแก่แพทย์ที่จะสั่งใช้
2. ยาผสม
คือ ยาที่แพทย์สั่งให้เภสัชกรผสม โดยมากสั่งให้เฉพาะบุคคลการผสมยาพวกนี้มีตามโรงพยาบาล
หรือสถานพยาบาลใหญ่ ๆ ที่มีเภสัชกรปฏิบัติงานเป็นประจำ
แบ่งตาม พ.ร.บ. ควบคุมยา
ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. ยาสามัญประจำบ้านหรือยาแผนปัจจุบัน
เป็นยาที่ประชาชนทั่วไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
มักใช้กับโรคที่ไม่รุนแรงมากนัก ไม่จำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจ เช่น ปวดศีรษะ ท้องอืด
เป็นต้น แต่หากอาการเหล่านี้ไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์
2. ยาอันตราย
เป็นยาสำเร็จรูปที่ใช้ในการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยมีตัวยาหลายชนิด
แต่ละชนิดมีทั้งคุณและโทษ การใช้ต้องระมัดระวังรอบคอบ
เพราะจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ได้เสมอ
กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดให้เป็นยาอันตราย เช่น ยาปฏิชีวนะ
3. ยาควบคุมพิเศษ
หมายถึง ยาที่มีอันตรายมาก ฤทธิ์ของยาที่สำคัญและร้ายแรงมากบางชนิด
เป็นยาเสพติดให้โทษ ถ้ากินเข้าไปนานจะเกิดการติดยา เช่น ยานอนหลับประเภทต่าง ๆ
ยาระงับประสาท หรือยากล่อมประสาทบางชนิด
ยาอันตรายที่ควรทราบ คือ “ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งเป็นยาที่ได้จากเชื้อราหรือแบคทีเรียบางชนิด ที่สามารถหยุดยั้งการเจริญและทำลายแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์อื่น ๆ โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อของยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบหรือยาแก้หนอง ยาปฏิชีวนะ เป็นยาที่เพิ่งจะเริ่มใช้กันอย่างกว้างขวางเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันยาประเภทนี้ได้ทวีความสำคัญขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และนิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากยาปฏิชีวนะสามารถรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับแบคทีเรียได้มากมายและมีประสิทธิภาพ บางขนานยังใช้รักษาโรคที่เกิดขึ้นกับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ อีก เช่น เชื้อบิด เชื้อรา และไวรัสและยังใช้รักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้ด้วย การใช้ยาปฏิชีวนะจำเป็นต้องศึกษาชนิดของเชื้อโรคให้แน่เสียก่อน ยาอย่างไหน ขนาดใด จึงจะเหมาะกับชนิดของเชื้อโรคนั้น เป็นเรื่องของแพทย์โดยเฉพาะไม่สมควรที่จะหายาเหล่านี้มารักษาเองเป็นอันขาด
หลักกว้าง ๆ ในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ คือ
เลือกใช้ยาปฏิชีวนะให้ถูกกับชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นต้นเหตุของโรคนั้น ๆ
ใช้ยาปฏิชีวนะในขนาดสูงพอที่จะทำลายเชื้อ ระยะเวลาที่ให้ยาปฏิชีวนะ
ควรจะนานพอที่จะทำลายเชื้อได้หมด โดยทั่วไป
ยาปฏิชีวนะที่นำมาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อเป็นยาที่มีพิษน้อยแต่พิษของมันอาจจะเกิดรุนแรงขึ้นถ้านำไปใช้อย่างผิด
ๆ
อันตรายที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
ผู้ป่วยที่แพ้ยานั้น
อาจเกิดผื่นขึ้นหรือถึงกับช็อคตายหรืออาจเกิดจากพิษของยาโดยตรง เช่น
ยาบางอย่างเป็นพิษต่อไต นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะยังมีผลทางอ้อม ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนหรือซ้ำเติมได้
พวกนี้มักเกิดในรายที่ใช้ยาออกฤทธิ์กว้าง
ยาจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายตายหมด เหลือแต่ตัวที่ดื้อยาเท่านั้น
อาการที่พบบ่อย คือ อาการท้องเดินหรือราขึ้นในปาก อาการที่รุนแรง คือ ตาย
ซึ่งพบได้บ่อย ยาปฏิชีวนะที่ผู้ป่วยซื้อใช้กันเองมาก คือ ยากลุ่มเตตร้าซัยคลิน
ซึ่งเป็นพิษต่อตับ ทำให้เกิดท้องเดิน เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
ไม่ควรใช้
จะทำให้ฟันเหลืองและผุได้ง่ายและกระดูกที่กำลังสร้างกร่อนไปและยาคลอแรมเฟนิคอล
จะลดไขกระดูก ทำให้มีอาการซีด เลือดออกตามตัว เม็ดเลือดขาวลดลง เกิดการติดเชื้อง่าย
รองลงมาคือ ยากลุ่มสเตร็ปโตมัยซิน ซึ่งยานี้ให้โดยการฉีด
ปัจจุบันมีประโยชน์น้อยมาก เชื้อส่วนใหญ่ดื้อต่อยานี้ มีใช้มากในพวกที่เป็นวัณโรค
ยากลุ่มเพนิซิลิน หากแพ้ยานี้จะเกิดผื่นขึ้นตามตัวหรือมีไข้ มีอาการซีด
อาจรุนแรงถึงช็อคได้ หากเก็บไว้ในที่ร้อนจะทำให้ยาเปลี่ยนไปเป็นสารที่ทำให้แพ้ง่ายขึ้น
การจ่ายยาของแพทย์และพยาบาลประจำโรงงานนั้นควรให้คำแนะนำว่า
ยาปฏิชีวนะมีทั้งคุณและโทษ โรคส่วนใหญ่อาจหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
ยานี้ไม่ใช่ยาลดไข้ ไม่ควรใช้โดยไม่จำเป็น
อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือเป็นพิษต่อร่างกาย
การใช้ยาโดยไม่ถูกวิธีหรือไม่ครบตามจำนวนที่ควรจะทำให้เป็นโรคเรื้อรังและเชื้อเกิดการดื้อยา
เป็นอันตรายต่อสังคมและตนเอง การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ควรซื้อกินเอง
ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งhttp://www.oknation.net/blog/nursingcareers/2012/06/17/entry-3
วิธีการใช้
รับประทานก่อนอาหาร
โดยทั่วไปหมายความว่าก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต
ได้ดี หากรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีจะทำให้การดูดซึมของยาลดลงมาก หากลืมรับประทานก่อนอาหารให้รับประทาน
หลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับยาที่ออกฤทธิ์ไปเพิ่มการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งใช้รักษาอาการคลื่นไส้
อาเจียน ให้รับประทานก่อนอาหารเพื่อที่จะได้ออกฤทธิ์ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เมื่อรับประทานอาหารลงไปได้ทัน
รับประทานหลังอาหาร โดยทั่วไปหมายความว่าหลังอาหารอย่างน้อย 15 นาที ยาที่ให้รับประทานหลังอาหารนี้ ส่วนมากเป็น
ยาทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่รบกวนต่อการดูดซึมของยาและอาจเพิ่มการดูดซึมของยาบางชนิดได้ หรือเป็นยาที่ถึงแม้จะถูกดูดซึมได้ดีในขณะ
ท้องว่าแต่มีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหารมาก
รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารมัก
ทำให้คลื่นไส้ อาเจียนเมื่อรับประทานขณะท้องว่าง หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เป็นผลหรือจนถึงขั้นเป็นแผล
ทะลุได้ ดังนั้นจึงต้องมีอาหารหรือน้ำช่วยทำให้เจือจาง ยาดังกล่าวได้แก่ ยาแก้ปวดข้อต่าง ๆ ยาแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
รับประทานก่อนนอน หมายความว่าให้รับประทานก่อนนอนตอนกลางคืนวันละ 1 ครั้ง เท่านั้น
ได้ดี หากรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีจะทำให้การดูดซึมของยาลดลงมาก หากลืมรับประทานก่อนอาหารให้รับประทาน
หลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับยาที่ออกฤทธิ์ไปเพิ่มการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งใช้รักษาอาการคลื่นไส้
อาเจียน ให้รับประทานก่อนอาหารเพื่อที่จะได้ออกฤทธิ์ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เมื่อรับประทานอาหารลงไปได้ทัน
รับประทานหลังอาหาร โดยทั่วไปหมายความว่าหลังอาหารอย่างน้อย 15 นาที ยาที่ให้รับประทานหลังอาหารนี้ ส่วนมากเป็น
ยาทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่รบกวนต่อการดูดซึมของยาและอาจเพิ่มการดูดซึมของยาบางชนิดได้ หรือเป็นยาที่ถึงแม้จะถูกดูดซึมได้ดีในขณะ
ท้องว่าแต่มีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหารมาก
รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารมัก
ทำให้คลื่นไส้ อาเจียนเมื่อรับประทานขณะท้องว่าง หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เป็นผลหรือจนถึงขั้นเป็นแผล
ทะลุได้ ดังนั้นจึงต้องมีอาหารหรือน้ำช่วยทำให้เจือจาง ยาดังกล่าวได้แก่ ยาแก้ปวดข้อต่าง ๆ ยาแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
รับประทานก่อนนอน หมายความว่าให้รับประทานก่อนนอนตอนกลางคืนวันละ 1 ครั้ง เท่านั้น
วิธีละลายยาผงแห้งปฏิชีวนะ
1.
หากต้องใช้ยามากกว่า 1 ขวด ให้ละลายยาทีละขวด 2. เคาะผงยาในขวดให้ร่วน 3. ใช้น้ำต้มสุกที่เย็นแล้วหรือน้ำดื่มที่สะอาดละลายยา ห้ามให้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่น 4. เปิดฝาขวดยา เติมน้ำลงในขวดยาประมาณครึ่งขวด ปิดฝาขวด เขย่าให้ผงยาเปียกทั่วและกระจาย ไม่จับเป็นก้อน 5. เปิดฝาขวดยาอีกครั้ง เติมน้ำลงในขวดจนถึงขีดที่กำหนดไว้บนขวดยาหรือขีดบอกบนฉลากยา 6. ปิดฝาขวดยา เขย่าให้ยากระจายเข้ากันดี 7. ก่อนรินยา ต้องเขย่าขวดก่อนทุกครั้ง ยาที่ผสมแล้วมีอายุการใช้ไม่เกิน 7 วัน และเก็บยาไว้ในที่เย็นหรือในตู้เย็น ช่องธรรมดา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น