การช่วยผู้บาดเจ็บอุบัติเหตุจราจร
การปฐมพยาบาลจะช่วยลดภาวะเสี่ยงอันตรายของผู้ประสบอุบัติเหตุ ทั้งนี้การช่วยเหลือจะต้องทำอย่างถูกขั้นตอนตามหลักการแพทย์ มิเช่นนั้นผู้บาดเจ็บจะได้รับอันตรายจากการปฐมพยาบาลแทนที่จะปลอดภัย ก่อนที่จะเริ่มการปฐมพยาบาลควรตรวจรอบบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ ทำการเก็บศพถ้ามีผู้เสียชีวิต ช่วยเหลือผู้ที่ได้ประสบอุบัติเหตุ จนนำส่งโรงพยาบาล และดำเนินการช่วยเหลือถึงที่สุดความสามารถ
หลักการปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือต่อผู้บาดเจ็บหรือผู้เจ็บป่วย ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ขณะนั้น หลังจากนั้นส่งผู้บาดเจ็บให้อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์
วัตถุประสงค์ของการปฐมพยาบาล
1. เพื่อช่วยชีวิต
2. ลดความรุนแรง ภาวะไม่พึงประสงค์
3. เพื่อป้องกันความพิการ
4. บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน
5. ช่วยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
เริ่มต้นปฐมพยาบาล
หลักการทั่วไปสำหรับการช่วยเหลือปฐมพยาบาล คือจำเป็นจะต้องกระทำโดยเร็วที่สุด และมีสิ่งพึงระวังถึงบุคคล 2 กลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มผู้ช่วยเหลือ บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุขณะนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ช่วยเหลือ จึงควรมีหลักการช่วยเหลือ คือมองดู สำรวจระบบสำคัญของร่างกายอย่างรวดเร็ว และวางแผนช่วยเหลืออย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจ
ห้ามเคลื่อนย้าย
การปฐมพยาบาลจะช่วยลดภาวะเสี่ยงอันตรายของผู้ประสบอุบัติเหตุ ทั้งนี้การช่วยเหลือจะต้องทำอย่างถูกขั้นตอนตามหลักการแพทย์ มิเช่นนั้นผู้บาดเจ็บจะได้รับอันตรายจากการปฐมพยาบาลแทนที่จะปลอดภัย ก่อนที่จะเริ่มการปฐมพยาบาลควรตรวจรอบบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ ทำการเก็บศพถ้ามีผู้เสียชีวิต ช่วยเหลือผู้ที่ได้ประสบอุบัติเหตุ จนนำส่งโรงพยาบาล และดำเนินการช่วยเหลือถึงที่สุดความสามารถ
หลักการปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือต่อผู้บาดเจ็บหรือผู้เจ็บป่วย ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ขณะนั้น หลังจากนั้นส่งผู้บาดเจ็บให้อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์
วัตถุประสงค์ของการปฐมพยาบาล
1. เพื่อช่วยชีวิต
2. ลดความรุนแรง ภาวะไม่พึงประสงค์
3. เพื่อป้องกันความพิการ
4. บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน
5. ช่วยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
เริ่มต้นปฐมพยาบาล
หลักการทั่วไปสำหรับการช่วยเหลือปฐมพยาบาล คือจำเป็นจะต้องกระทำโดยเร็วที่สุด และมีสิ่งพึงระวังถึงบุคคล 2 กลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มผู้ช่วยเหลือ บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุขณะนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ช่วยเหลือ จึงควรมีหลักการช่วยเหลือ คือมองดู สำรวจระบบสำคัญของร่างกายอย่างรวดเร็ว และวางแผนช่วยเหลืออย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจ
ห้ามเคลื่อนย้าย
เมื่อ
อวัยวะต่างๆ บาดเจ็บ ร่างกายได้รับความกระกระเทือน อาจมีการฉีกขาด หัก
มีเลือดออกทั้งภายในและภายนอก
ซึ่งผู้ช่วยเหลืออาจมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ได้
การเคลื่อนย้ายทันทีอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้น
โดยเฉพาะถ้ากระดูกสันหลังหัก กระดูกที่หักจะตัดไขสันหลัง จะทำให้ผู้บาดเจ็บพิการตลอดชีวิตได้
ดังนั้นไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจนกว่าจะแน่ใจว่า เคลื่อนย้ายได้
ดังนั้นไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจนกว่าจะแน่ใจว่า เคลื่อนย้ายได้
ข้อยกเว้น
กรณีที่การบาดเจ็บเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่สะดวกต่อการปฐมพยาบาล หรืออาจเกิดอันตรายมากขึ้นทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ช่วยเหลือ จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปที่ปลอดภัยก่อน จึงทำการปฐมพยาบาลได้ เช่น อยู่ในห้องทึบ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก อยู่ในน้ำ หรืออยู่ในกองไฟ เป็นต้น แต่ต้องเคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ คอ และหลัง
ต้องระวัง
การให้ความช่วยเหลือด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง ควรให้ความช่วยเหลือตามลำดับความสำคัญของการมีชีวิต หรือตามความรุนแรงที่ผู้บาดเจ็บได้รับ
2. กลุ่มผู้บาดเจ็บ
ผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ต่างๆ อันตรายที่ร่างกายได้รับ เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1.หยุดหายใจ
2.ทางเดินหายใจอุดตัน หัวใจหยุดเต้น
3.เสียโลหิตจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
4.หมดสติ
5.เจ็บปวด
6.อัมพาต
7.กระดูกหัก
ข้อควรจำ
การปฐมพยาบาลที่ดี ผู้ช่วยเหลือควรให้การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว นุ่มนวล และต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้บาดเจ็บ ควรได้รับการปลอบประโลม และให้กำลังใจเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย
ประเมินสภาพผู้บาดเจ็บ
เมื่ออุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวจะประกอบได้ด้วยสถานการณ์ที่อันตรายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือต้องตระหนักถึงความสำคัญของสถานการณ์นั้น จะทำให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าหากผู้ช่วยเหลือไม่ตระหนักถึงอันตรายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาจได้รับอันตรายทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้บาดเจ็บ การไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินสภาพผู้บาดเจ็บก่อนให้การปฐมพยาบาล อาจก่อให้เกิดผลเสียและทำให้ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้นได้
กรณีที่การบาดเจ็บเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่สะดวกต่อการปฐมพยาบาล หรืออาจเกิดอันตรายมากขึ้นทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ช่วยเหลือ จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปที่ปลอดภัยก่อน จึงทำการปฐมพยาบาลได้ เช่น อยู่ในห้องทึบ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก อยู่ในน้ำ หรืออยู่ในกองไฟ เป็นต้น แต่ต้องเคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ คอ และหลัง
ต้องระวัง
การให้ความช่วยเหลือด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง ควรให้ความช่วยเหลือตามลำดับความสำคัญของการมีชีวิต หรือตามความรุนแรงที่ผู้บาดเจ็บได้รับ
2. กลุ่มผู้บาดเจ็บ
ผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ต่างๆ อันตรายที่ร่างกายได้รับ เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1.หยุดหายใจ
2.ทางเดินหายใจอุดตัน หัวใจหยุดเต้น
3.เสียโลหิตจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
4.หมดสติ
5.เจ็บปวด
6.อัมพาต
7.กระดูกหัก
ข้อควรจำ
การปฐมพยาบาลที่ดี ผู้ช่วยเหลือควรให้การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว นุ่มนวล และต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้บาดเจ็บ ควรได้รับการปลอบประโลม และให้กำลังใจเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย
ประเมินสภาพผู้บาดเจ็บ
เมื่ออุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวจะประกอบได้ด้วยสถานการณ์ที่อันตรายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือต้องตระหนักถึงความสำคัญของสถานการณ์นั้น จะทำให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าหากผู้ช่วยเหลือไม่ตระหนักถึงอันตรายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาจได้รับอันตรายทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้บาดเจ็บ การไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินสภาพผู้บาดเจ็บก่อนให้การปฐมพยาบาล อาจก่อให้เกิดผลเสียและทำให้ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้นได้
4.สำรวจผู้บาดเจ็บขั้นที่ 2
ถ้าพบว่าผู้บาดเจ็บมีอาการรุนแรงสาหัส ไม่ต้องสำรวจขั้นที่ 2 แล้ว ให้เรียกรถพยาบาลและทำการปฐมพยาบาลอาการที่รุนแรงทันที
สัมภาษณ์ผู้บาดเจ็บ
ถามคำถามง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน บางครั้งผู้บาดเจ็บไม่สามารถอธิบาย หรือแยกแยะข้อมูลได้ เช่น ผู้บาดเจ็บที่เป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่หมดสติชั่วขณะหนึ่ง ให้ใช้การพิจารณาตัดสินใจเอง และสังเกตการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
-ชื่อ นามสกุล
-เกิดอะไรขึ้น
-เจ็บปวดบริเวณใด
-ต้องการให้ช่วยอะไร
ตรวจการหายใจ
สังเกตว่ามีการหายใจที่ผิดปกติหรือไม่ เช่น หอบ หายใจมีเสียงผิดปกติ หายใจเร็วหรือช้ากว่าปกติ แล้วรู้สึกเจ็บ
-หอบหรือไม่
-หายใจเร็วหรือช้า
-หายใจเจ็บหรือไม่
ตรวจร่างกายตลอดศีรษะจรดเท้า
เพื่อให้ได้ข้อมูลบาดเจ็บครบถ้วน ควรตรวจร่างกายตั้งแต่ ศีรษะ ใบหน้า ลำคอ ไหล่ แขน 2 ข้าง ทรวงอก สะโพก ขาทั้ง 2 ข้าง และเท้าตามลำดับ
ถ้าผู้บาดเจ็บเคลื่อนไหวได้ ไม่มีอาการบาดเจ็บ และไม่มีลักษณะการบาดเจ็บให้เห็น ควรพักประมาณ 2 -3 นาที แล้วเริ่มนั่งตรวจสิ่งผิดปกติเป็นระยะ ซึ่งถ้าไม่มีอาการเลวลงผู้บาดเจ็บค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
-บอกให้ผู้บาดเจ็บหายใจเข้า - ออก ลึกๆ ช้าๆ
-ถามถึงความรู้สึกเจ็บปวด บริเวณช่องอกและช่องท้อง
ถ้าพบว่าผู้บาดเจ็บมีอาการรุนแรงสาหัส ไม่ต้องสำรวจขั้นที่ 2 แล้ว ให้เรียกรถพยาบาลและทำการปฐมพยาบาลอาการที่รุนแรงทันที
สัมภาษณ์ผู้บาดเจ็บ
ถามคำถามง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน บางครั้งผู้บาดเจ็บไม่สามารถอธิบาย หรือแยกแยะข้อมูลได้ เช่น ผู้บาดเจ็บที่เป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่หมดสติชั่วขณะหนึ่ง ให้ใช้การพิจารณาตัดสินใจเอง และสังเกตการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
-ชื่อ นามสกุล
-เกิดอะไรขึ้น
-เจ็บปวดบริเวณใด
-ต้องการให้ช่วยอะไร
ตรวจการหายใจ
สังเกตว่ามีการหายใจที่ผิดปกติหรือไม่ เช่น หอบ หายใจมีเสียงผิดปกติ หายใจเร็วหรือช้ากว่าปกติ แล้วรู้สึกเจ็บ
-หอบหรือไม่
-หายใจเร็วหรือช้า
-หายใจเจ็บหรือไม่
ตรวจร่างกายตลอดศีรษะจรดเท้า
เพื่อให้ได้ข้อมูลบาดเจ็บครบถ้วน ควรตรวจร่างกายตั้งแต่ ศีรษะ ใบหน้า ลำคอ ไหล่ แขน 2 ข้าง ทรวงอก สะโพก ขาทั้ง 2 ข้าง และเท้าตามลำดับ
ถ้าผู้บาดเจ็บเคลื่อนไหวได้ ไม่มีอาการบาดเจ็บ และไม่มีลักษณะการบาดเจ็บให้เห็น ควรพักประมาณ 2 -3 นาที แล้วเริ่มนั่งตรวจสิ่งผิดปกติเป็นระยะ ซึ่งถ้าไม่มีอาการเลวลงผู้บาดเจ็บค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
-บอกให้ผู้บาดเจ็บหายใจเข้า - ออก ลึกๆ ช้าๆ
-ถามถึงความรู้สึกเจ็บปวด บริเวณช่องอกและช่องท้อง
ขั้นตอนการช่วยเหลือ
1.สำรวจสถานการณ์
ต้องประเมินว่าสถานการณ์นั้นปลอดภัยพอที่จะเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ถ้าไม่ปลอดภัยควรขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยต่างๆ โดยเร็ว และไม่ควรเข้าไปใกล้สถานการณ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือได้
2.สำรวจผู้บาดเจ็บขั้นที่ 1
เมื่อแน่ใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยแล้วรีบทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทันที ถ้ามีผู้บาดเจ็บหลายคนต้องทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสก่อน ได้แก่ หมดความรู้สึก
ถ้าไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติต้องระวังทางเดินหายใจอุดตัน ล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ออก เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
ระบบหายใจ
สังเกตดูการเคลื่อนไหวขึ้นลงของทรวงอกฟังเสียงลมหายใจ และให้แก้มสัมผัสลมหายใจที่เป่าออกมา ปกติผู้ใหญ่หายใจประมาณ 12 -20 ครั้งต่อนาที
การเต้นของหัวใจ
ใช้นิ้วมือแตะที่เส้นเลือดแดงบริเวณข้างลำคอ การเต้นของหัวใจของวัยผู้ใหญ่ประมาณ 60 - 90 ครั้งต่อนาที
เสียเลือด
ปริมาณเลือดที่ออกจากบาดแผลและจากอาการแสดงของผู้บาดเจ็บ
3.ขอความช่วยเหลือ
ผู้บาดเจ็บที่จำเป็นค่าสินไหมทดแทน ควรเรียกพยาบาลมาช่วยควรให้ข้อมูลที่จำเป็น เพื่อการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ
สถานที่เกิดเหตุ สถานที่ใก้ลเคียง หรือจุดสังเกตุเห็นได้ง่าย
สถานการณ์
จำนวนผู้บาดเจ็บ
อาการผู้บาดเจ็บที่ประเมินได้
1.สำรวจสถานการณ์
ต้องประเมินว่าสถานการณ์นั้นปลอดภัยพอที่จะเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ถ้าไม่ปลอดภัยควรขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยต่างๆ โดยเร็ว และไม่ควรเข้าไปใกล้สถานการณ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือได้
2.สำรวจผู้บาดเจ็บขั้นที่ 1
เมื่อแน่ใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยแล้วรีบทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทันที ถ้ามีผู้บาดเจ็บหลายคนต้องทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสก่อน ได้แก่ หมดความรู้สึก
ถ้าไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติต้องระวังทางเดินหายใจอุดตัน ล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ออก เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
ระบบหายใจ
สังเกตดูการเคลื่อนไหวขึ้นลงของทรวงอกฟังเสียงลมหายใจ และให้แก้มสัมผัสลมหายใจที่เป่าออกมา ปกติผู้ใหญ่หายใจประมาณ 12 -20 ครั้งต่อนาที
การเต้นของหัวใจ
ใช้นิ้วมือแตะที่เส้นเลือดแดงบริเวณข้างลำคอ การเต้นของหัวใจของวัยผู้ใหญ่ประมาณ 60 - 90 ครั้งต่อนาที
เสียเลือด
ปริมาณเลือดที่ออกจากบาดแผลและจากอาการแสดงของผู้บาดเจ็บ
3.ขอความช่วยเหลือ
ผู้บาดเจ็บที่จำเป็นค่าสินไหมทดแทน ควรเรียกพยาบาลมาช่วยควรให้ข้อมูลที่จำเป็น เพื่อการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ
สถานที่เกิดเหตุ สถานที่ใก้ลเคียง หรือจุดสังเกตุเห็นได้ง่าย
สถานการณ์
จำนวนผู้บาดเจ็บ
อาการผู้บาดเจ็บที่ประเมินได้
ที่มา: http://www.nmt.ac.th/product/web/1/t3.html